การร้องเพลงคริสต์มาส

เพลงคริสต์มาสที่เรานิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีเสียงมากได้แก่ Silent Night, Holy Night เป็นภาษาไทยว่า “ราตรีสวัสดิ์ คืนอันศักดิสิทธ์” ความเป็นมาของเพลงนี้คือ วันก่อนวันคริสต์มาส ของปี ค.ศ. 1818 คุณพ่อ Joseph Mohr เจ้าอากาสวัดที่ Oberndorf ประเทศออสเตรเลีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวัดเสีย ทำให้วงขับไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ คุณพ่อเองตั้งใจจะแต่งเพลงคริสต์มาส หลังจากแต่งเสร็จก็เอาไปให้เพื่อนคนหนึ่งชื่อ Franz Gruber ที่อยู่หมู่บ้านใกล้เคียงใส่ทำนองในคืนวันที่ 24 นั้นเอง สัตบุรุษวัดใกล้ก็ได้ฟังเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก

-->

การทำมิสซาเที่ยงคืน วันคริสต์มาส

เมื่อพระสันตะปาปาจูลีอัสที่ 1 ได้ประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคมเป็นฉลองพระคริสตสมภพ (วันคริสต์มาส) แล้วในปี นั้นเองพระองค์และสัตบุรุษได้พากันเดินสวดภาวนา และขับร้องไปยังตำบลเบธเลเฮม ยังถ้ำที่พระเยซูเจ้าประสูติ พอไปถึงก็เป็นเวลาเที่ยงคืน พระสัน ตะปาปาก็ทรงถวายบูชา ณ ที่นั้น เมื่อเสร็จแล้วก็กลับมาที่พัก เป็นเวลาเช้ามืดราวๆ ตี 3 พระองค์ก็ถวายมิสซาอีกครั้ง และสัตบุรุษเหล่านั้นก็พากันกลับ แต่ก็ยังมีสัตบุรุษหลายคนที่ไม่ได้ไป พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิสซาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 3 เพื่อ สัตบุรุษเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้เองพระสันตะปาปาจึงทรงอนุญาตในพระสงฆ์ถวายบูชามิสซาได้ 3 ครั้ง ในวันคริสต์มาส เหมือนกับการปฏิบัติของพระองค์ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมี ธรรมเนียมถวายมิสซาเที่ยงคืน ในวันคริสต์มาส และพระสงฆ์ก็สามารถถวายมิสซาได้ 3 มิสซา ใน โอกาสวันคริสต์มาสเช่นเดียวกัน

-->

ความเป็นมาของต้นคริสมาสต์

ความเป็นมาของต้นคริสมาสต์นั้น สืบเนื่องจากในศตวรรษที่ 11 ชาวคริสต์นิยมนำเรื่องเล่าเกี่ยวกับเทศกาลคริตส์มาสมาแสดงเป็นละครเพื่อถ่ายทอดความหมายของวันคริสต์มาสให้ชาวบ้านได้รับรู้ โดยในยุคนั้นได้มีการนำต้นสนมาตั้งไว้ตรงกลางเวทีเพื่อใช้เป็นของประดับฉาก ส่วนสาเหตุเลือกต้นสน ก็เนื่องมากจากเป็นต้นไม้ที่หาได้ง่าย ทำให้ในภายหลังจึงมีการเรียกต้นสนที่ใช้ประกอบฉากในการแสดงดังกล่าวว่า ต้นคริสต์มาส ซึ่งต้นคริสต์มาสนี้ไม่ใช่พรรณไม้ที่ชื่อคริสต์มาสดังที่หลายคนเข้าใจ ในวัฒนธรรมของชาวคริสต์ ยังมีความเชื่ออีกว่า ต้นคริสต์มาส หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งเป็นต้นไม้ที่อดัมและอีฟแอบเด็ดผลไม้มากิน ซึ่งเป็นการทำบาป เนื่องจากไม่เชื่อฟังพระเจ้า ดังนั้นต้นคริสมาสต์จึงเปรียบเสมือนเครื่องเตือนใจเกี่ยวกับการเรื่องละเมิดคำสอนของพระเจ้า

-->

ความหมาย เทียนและพวงมาลัยวันคริสมาสต์

พวงมาลัยนั้นเป็นสัญลักษณ์ที่คนสมัยก่อนใช้หมายถึงชัยชนะ แต่สำหรับการแขวนพวงมาลัยในวันคริสต์มาสนั้น หมายถึงการที่พระองค์มาบังเกิดในโลก และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างครบบริบูรณ์ตามแผนการณ์ของพระเป็นเจ้า ซึ่งธรรมเนียมนี้ เกิดจากกลุ่มคริสตชนกลุ่มหนึ่งในประเทศเยอรมันได้เอากิ่งไม้มาประกอบเป็นวงกลมคล้ายพวงมาลัย แล้วเอาเทียน 4 เล่ม วางไว้บนพวงมาลัยนั้น ในตอนกลางคืนของวันอาทิตย์แรกของเทศกาลเพื่อเตรียมรับเสด็จ ทุกคนในครอบครัวจะจุดเทียนหนึ่งเล่ม สวดภาวนา และร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกันเป็นเวลา 4 อาทิตย์ก่อนถึงวันคริสต์มาส ประเพณีเป็นที่นิยมอยางมากในประเทศอเมริกา ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยนำเทียน 1 เล่มนั้นมาจุดไว้ตรงกลางพวงมาลัยสีเขียว และนำไปแขวนไว้ที่หน้าต่าง เพื่อเป็นการเตือนให้คนที่เดินผ่านไปมาได้รู้ว่าใกล้ถึงวันคริสต์มาสแล้ว ส่วนเหตุผลที่พวงมาลัยมีสีเขียวนั้น เป็นเพราะมีการเชื่อกันว่าสีเขียวจะช่วยป้องกันบ้านเรือนจากพวกพลังอันชั่วร้ายได้

-->

ความศรัทธาในงานเทศกาลคริสต์มาส

เนื่องจากเทศกาลวันคริสต์มาสมีรากฐานมาจากชาวคริสเตียน ทำให้หลาย ๆ ธรรมเนียมปฏิบัติยุคใหม่ยังคงมีเกี่ยวข้องกับศาสนา ประเพณี และความเชื่อดั้งเดิมอยู่ ดังนั้นในส่วนนี้เราจะมาคุยกันถึงประเพณีนิยมที่ยังถือปฏิบัติกันอยู่ในครอบครัวที่เคร่งศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งครอบครัวชาวคริสเตียน โบสถ์ ในเทศกาลคริสต์มาสครอบครัวที่เคร่งศาสนาส่วนใหญ่จะไปโบสถ์เพื่อประกอบพิธีกรรมร่วมกัน การประสูติ The Nativity หมายถึงการประสูติซึ่งเราใช้เรียกการประสูติของพระเยซู โดยส่วนใหญ่แล้วทั้งพิธีกรรมในโบสถ์และพิธีมิสซา พวงมาลัยแห่งการจุติ Advent wreath (พวงมาลัยแห่งการจุติ) เป็นพวงมาลัยขนาดเล็กที่ประดับด้วยเทียนห้าเล่ม โดยสี่เล่มจะปักไปตามเส้นรอบวงและอีกหนึ่งเล่มจะปักไว้ตรงกลางวงของพวงมาลัย เพลงคริสต์มาส เพลงที่ร้องในโบสถ์จะเรียกว่า “เพลงสวด” (hymns) และเพลงสวดสำหรับคริสต์มาสก็จะมีอยู่มากมายหลายเพลง

-->

7 ธรรมเนียมวันคริสต์มาส

ความสำคัญของวันคริสต์มาสวันคริสต์มาส เป็นเทศกาลที่เฉลิมฉลองวันประสูตรของพระเยซูตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี ในต่างประเทศที่มีผู้คนนับถือศาสนาคริสต์ จะถือว่าเอาช่วงเวลานี้เป็นวันหยุดยาว เพื่อให้ชาวคริสต์ได้กลับไปใช้ชีวิต พบปะ สังสรรค์และได้ใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวของพวกเขาในช่วงเวลาสำคัญแห่งปีนั้นเอง  และแน่นอนวันคริสต์มาสก็ทำให้เกิดประเพณี หรือวัฒนธรรมปฏิบัติเยอะแยะมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการห้อยถุงเท้า การตกแต่งต้นคริสต์มาส แต่ละประเพณีมีความสำคัญอย่างไร วันนี้เฮเฟเล่จะพาไปรู้กัน   7 ธรรมเนียมวันคริสต์มาส (ฉบับออริจินอล)  1. การแขวนถุงเท้า ( HANGING STOCKINGS) เมื่อถึงช่วงเวลาวันคริสต์มาสอีฟ นิยมนำถุงเท้ายาวไปห้อยไว้ที่หน้าเตาผิง หรือที่ต้นคริสต์มาส เพราะเชื่อกันว่าซานตาครอสจะนำของขวัญที่อยากได้มาใส่ไว้ในถุงเท้านั่นเอง  แต่ความเป็นจริงแล้ว ที่มาของการแขวนถุงเท้ามาจาก ความเชื่อที่ว่า การวางหญ้าแห้งไว้ในรองเท้า เมื่อนักบุญนิโคลัส (ซานต้าคลอสคนแรก) เดินทางผ่านมา จะนำหญ้าแห้งมาเป็นอาหารให้กับลาของเขา  และจะทิ้งเหรียญเงินไว้ในรองเท้าเพื่อเป็นการตอบแทนนั้นเอง  หรือบางความเชื่อก็ว่า มีพี่น้อง 3 คน ฐานะยากจน ไม่มีเงินกระทั่งจะต้องไปทำงานโสเภณี เรื่องรู้ถึงนักบุญนิโคลัส จึงได้นำเหรียญทองไปหยอดลงปล่องไฟ แต่เหรียญกลับตกลงไปในถุงเท้าของ 3 พี่น้องที่แขวนไว้หน้าปล่องไฟ รุ่งเช้าเมื่อ 3 พี่น้องมาเจอเหรียญ ทำให้พวกเธอดีใจ และเลิกล้มความคิดที่จะไปเป็นโสเภณี ต่อมาก็มีผู้คนมากมายแขวนถุงเท้าคริสต์มาสไว้ โดยหวังว่าจะได้รับของขวัญในลักษณะเดียวกันบ้าง  Read More

-->

คริสมาสต์อีฟ ตำนานความเชื่อในคืนก่อนถึงวันคริสมาสต์

       ในคืนวันคริสต์มาสอีฟ เด็กๆ จะเอาถุงเท้าไปแขวนไว้หน้าเตาผิง เพราะเชื่อว่าซานต้าจะปีนลงมาตามปล่องไฟ และเอาของขวัญใส่ไว้ในถุงเท้าที่มีชื่อของแต่ละคนติดไว้ พอตอนเช้า เด็กๆ จะรีบตื่นมาตรวจถุงเท้าของตัวเองว่ามีของขวัญจากซานต้าหรือไม่        ต้นกำเนิดความคิดนี้ มาจากตำนานหนึ่งของนักบุญนิโคลัส กล่าวกันว่าท่านมีน้องสาวสามคน อาศัยอยู่นอกเมืองในชนบท (บ้างก็ว่าหญิงสาวสามคนนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน) หญิงสาวทั้งสามยากจนมากจนคิดขายตัว พอนักบุญนิโคลัสทราบข่าวจึงคิดช่วยเหลือ คืนหนึ่งก่อนวันคริสต์มาสท่านจึงเดินทางกลับไปที่บ้าน และแอบหย่อนเหรียญทองสามเหรียญลงไปในรูที่มีไว้ระบายควันจากเตาไฟ ปรากฏว่าเหรียญทั้งสามไม่ได้ตกลงไปหน้าเตาไฟ แต่กลับกลิ้งเข้าไปในถุงเท้าที่พวกเธอแขวนตากไว้ที่หน้าเตาไฟ สาวทั้งสามต่างดีใจเมื่อพบเหรียญทองซึ่งทำให้เธอไม่ต้องไปเป็นโสเภณี                เสียงระฆังที่ถูกดังขึ้นในตอนเช้าของวันคริสต์มาสนั้นถือเป็นการเฉลิมฉลองให้กับการกำเนิดของพระเยซู ตามตำนานได้เล่าไว้ว่าเสียงระฆังได้ดังอยู่นานนับชั่วโมงก่อนเวลาเที่ยงคืนของวันคริสต์มาสอีฟ การตีระฆังดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อลดพลังความมืดก่อนที่ผู้ช่วยในการไถ่บาปจะถือกำเนิดขึ้น และในเวลาเที่ยงคืน เสียงกึกก้องของระฆังได้เปลี่ยนมาเป็นเสียงแห่งความสุข        เสียงของระฆังนั้นยังมีจุดประสงค์อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะตีระฆังเพื่อประกาศให้รู้ถึงการจากไปของผู้ที่ล่วงลับ ยังถือเป็นการบอกถึงการตายของปิศาจ (devil) ที่ถูกพาขึ้นมาโดยการกำเนิดของพระผู้เป็นเจ้า ระฆังของโบสถ์ยังรู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งคือ

-->

Merry Christmas : คริสต์มาสนี้คนญี่ปุ่นทำอะไร?

แม้ว่า “เทศกาลคริสมาสต์ (Christmas Day)” จะไม่ได้มีรากเหง้ามาจากญี่ปุ่น แต่เฉกเช่นหลายประเทศทั่วโลกทุกวันนี้ ที่ได้นำเอาเทศกาลคริสมาสต์มาเฉลิมฉลองในแบบของตัวเองและได้กลายเป็นสีสันหนึ่งที่ใครหลายคนรอคอยการมาเยือนของเดือนธันวาคม รวมถึงประเทศญี่ปุ่น เรามาดูกันว่าพวกเขากินและทำอะไรกันบ้างในเทศกาลแห่งความสุขนี้ 01 ชมไฟประดับ (Illuminations) Nabana no Sato Winter Illumination ภาพ: bit.ly/2En5osK Illuminations คือการแสดงแสงสีประดับตกแต่งไฟตามสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ของญี่ปุ่น ช่างประจวบเหมาะเจาะกับเทศกาลคริสมาสต์ที่อยู่เดือนธันวาคม หลายสถานที่ได้เริ่มตกแต่งไฟตามท้องถนนและสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนยาวไปถึงสิ้นเดือนธันวาคม (และบ้างยาวไปถึงมกราคม) เช่น Nabana no Sato Winter Illumination หนึ่งในเทศกาลแสงสีที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น หรือในโตเกียว เช่น Caretta Shiodome ที่จัดมาต่อเนื่องเป็นเวลาสิบกว่าปีแล้ว, ถนน Keyakizaka ย่านรปปงหงิ, Tokyo Disneyland, Tokyo Skytree (ชื่อธีมปีนี้ TOWN Dream Christmas) และอีกหลากสถานที่ทั่วญี่ปุ่น ตระการตาที่ Caretta Shiodome ภาพ: bit.ly/2R3tAHG ประดับไฟเรียบหรูที่ถนน Keyakizaka, Roppongi ภาพ:Read More

-->

ฉลองคริสมาสต์อย่างออสซี่

ออสซี่จะฉลองคริสมาสต่างๆกันไปเพราะออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมอันเนื่องมาจากประชากรของออสเตรเลียนั้นมาจากหลายประเทศทั่วโลก อีกทั้งวันคริสมาสเป็นช่วงฤดูร้อนของออสเตรเลีย บรรยากาศในการเฉลิมฉลองจึงแตกต่างไปจากประเทศทางยุโรปไปบ้าง ในขณะที่ประเทศอื่นๆฉลองคริสมาสท่ามกลางหิมะสีขาวและหนาวเย็น แต่เนื่องจากที่ออสเตรเลียเป็นหน้าร้อน ออสซี่จึงฉลองกันใต้ท้องฟ้าสีครามสดใส อาหารในวันคริสมาสก็เป็นบาร์บีคิวกันเป็นส่วนใหญ่โดยเฉพาะอาหารทะเลจะนิยมมากเป็นพิเศษ รวมไปถึงสลัดและขนมเย็นๆต่างๆ บ้างก็ฉลองกับครอบครัวที่บ้าน บ้างก็ไปฉลองกันตามสวนสาธารณะ หรือตามชายหาดกัน บ้านเรือนต่างๆเริ่มมีการตกแต่งด้วยไฟและแสงสีต่างๆมากขึ้นไม่เฉพาะแต่เพียงการตกแต่งต้นคริสมาสในบ้าน หลายๆบ้านทำการตกแต่งทั้งบ้านด้วยไฟคริสมาสให้คนอื่นๆได้ไปดูกัน อีกทั้งมีการประกวดประชันกันด้วย ดังนั้นคืนก่อนวันคริสมาส จะมีผู้คนมากมายขับรถไปชมแสงสีตามบ้านเรือนต่างๆอย่างสนุกสนาน ค้นหาที่อยู่บ้านที่ประดับประดาไฟคริสมาสอย่างสวยงามในทุกรัฐได้ที่นี่ Christmas Light Display ตามปกติแล้วออสซี่จะไม่ฉลองวันคริสมาสอีฟหากแต่จะฉลองกันในวันคริสมาสทีเดียวเลย แต่สำหรับในเมืองใหญ่มีความพยายามที่จะรักษาขนบธรรมเนียมการเฉลิมฉลองแบบดั้งเดิม ดังนั้น Carols by Candlelight จึงยังเป็นที่นิยมจัดกันแพร่หลายอยู่ตามสถานที่ต่างๆ โดยเฉพาะในสวนสาธารณะขนาดใหญ่ แม้แต่กับคนที่ไม่ใช่เป็นคริสเตียนก็ไปร่วมร้องเพลงคริสมาสด้วยกันได้ ในออสเตรเลีย คริสมาสเป็นช่วงเวลาพิเศษที่ครอบครัว ญาติๆและเพื่อนฝูงได้เฉลิมฉลองด้วยกันและแลกเปลี่ยนของขวัญกัน วันคริสมาสเป็นเทศกาลให้ของขวัญที่สำคัญสำหรับออสซี่เลยทีเดียว บางบ้านก็จะเปิดของขวัญกันตั้งแต่คืนวันที่ 24 บางบ้านก็จะเปิดของขวัญกันในวันคริสมาสเลย และช่วงบ่ายหลังจากฉลองกับครอบครัวแล้ว ก็มักจะออกไปเยี่ยมเยียนญาติสนิทมิตรสหายกัน เมื่อก่อน วันคริสมาสจะเป็นวันที่เงียบมากเพราะออสซี่มักจะอยู่ฉลองกับครอบครัวที่บ้าน ถนนหนทางจะโล่งไร้ผู้คน ร้านค้าจะปิดเป็นส่วนใหญ่ แต่ปัจจุบันนั้นเปลี่ยนไปมาก ผู้คนออกนอกบ้านกันมากขึ้น ตามหาดต่างๆก็คราคร่ำไปด้วยผู้คนที่ออกไปใช้เวลาพิเศษนี้ด้วยกัน  Boxing Day วันบ๊อกซิ่งเดย์ คือวันที่ 26 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งที่หลายๆคนรอคอยมาทั้งปีเพราะเป็นวันแห่งการช็อปปิ้งที่ห้างร้านใหญ่ๆจะกระหน่ำลดราคากันชนิดที่ว่าผู้คนต่างไปเข้าแถวรอห้างเปิดกันเลยทีเดียว นอกจากการช็อปปิ้งแล้ว Boxing Day ยังเป็นวันสำคัญของการแข่งขันคริกเก็ตRead More

-->

5 อาหาร “คริสต์มาส” เมนูฉลองวันหยุด อิ่มอร่อยได้ทั้งบ้าน!

สวัสดีวันคริสต์มาสอีฟ! หนุ่มสาวชาวออฟฟิศบางคน (ออฟฟิศบางแห่ง) เริ่มหยุดยาวกันแล้ว…ดีใจด้วย ส่วนใครที่ยังไม่ได้หยุดก็ไม่เป็นไร สู้ต่อไป เดี๋ยวก็ถึงตาคุณได้หยุดปีใหม่บ้างเหมือนกัน เอาเป็นว่าสำหรับคนที่แพลนจะฉลองคริสต์มาสกันที่บ้าน เรามีเมนูวันคริสต์มาสแสนอร่อยที่ทุกบ้านควรมีขึ้นโต๊ะอาหาร ไลฟ์สไตล์ไทยรัฐ มีเมนูซิกเนเจอร์ “อาหาร” สำหรับการเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสมาบอกต่อ คุณจะได้เตรียมเมนูอร่อยได้แบบจัดใหญ่จัดเต็มให้สมกับการฉลองวันหยุดแห่งความสุข ส่วนจะมีเมนูไหนบ้าง? ตามมาดูเลยจ้า… 1. ไก่งวงอบ เมนูนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของการฉลองวันคริสต์มาสเลยทีเดียว ไม่ว่าบ้านไหนก็ต้องมีไก่อบทั้งตัวเป็นเมนูหลักสำหรับการเฉลิมฉลองนี้ ถ้าเป็นชาวต่างชาติก็มักจะใช้เป็น “ไก่งวงอบ” แต่สำหรับคนไทยเราก็เลือกไก่ธรรมดานี่แหละ…ใช้ได้เหมือนกัน ปรุงให้อร่อยเด็ดเป็นพอ แต่ถ้าใครเบื่อการหมักไก่อบรสชาติไทยๆ แบบเดิมแล้ว ปีนี้ลองมาใช้สูตรหมักไก่ให้ได้กลิ่นอายแบบอาหารฝรั่งดูบ้างก็ได้ เพียงแค่ต้องมีเครื่องปรุงหลักๆ คือ เนยสด เกลือ พริกไทย น้ำมันมะกอก สำหรับเพิ่มรสชาติ ส่วนในเรื่องของกลิ่นหอมๆ อาจใส่สมุนไพรฝรั่งอย่าง ใบไทม์ โรสแมรี่ หรือออริกาโน่ เพิ่มมาก็ได้ แถมด้วยเลมอนลูกสีเหลือง หั่นขวางเป็นแว่นๆ ใส่เพิ่มเข้าไปทั้งตอนหมักและตอนเอาเข้าเตาอบ จากนั้นรอให้สุก แค่นี้ก็จะได้ “ไก่อบ” ที่มีกลิ่นหอม รสชาติอร่อยแบบอินเตอร์ หรูหราขึ้นมาอีกระดับเลยทีเดียว 2. คุกกี้ขนมปังขิง ถัดมาเป็นเมนูขนมที่มักจะทำแจกเพื่อนบ้านหรือเพื่อนที่ทำงาน ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส นั่นคือ คุกกี้ขนมปังขิง นี่ก็เป็นเมนูซิกเนเจอร์ของวันคริสต์มาสเช่นกันRead More

-->