เมื่อเดือนธันวาคมมาถึง ผู้คนที่อาศัยในซีกโลกใต้ไม่ได้ซุกตัวอยู่ในเสื้อกันหนาวอุ่นๆ แต่กลับสวมใส่เสื้อยืดและกางเกงขาสั้น ใช่แล้ว คริสต์มาสทางตอนใต้แตกต่างออกไป แต่คุณจะคาดหวังอะไรได้บ้างล่ะ เพื่อช่วยให้คุณสามารถจินตนาการได้ว่า จะเป็นอย่างไรเมื่อเราเปลี่ยนหิมะมาเป็นแสงอาทิตย์ และเปลี่ยนจากพุดดิ้งมาเป็นกุ้ง เราได้สรุปสิ่งที่เราชอบมากที่สุดใน “ฤดูตลกๆ” ใต้เส้นศูนย์สูตรมาให้คุณแล้ว ออสเตรเลีย “คริสต์มาสในที่ที่ต้นยางเติบโตนั้น จะไม่มีน้ำแข็งและไม่มีหิมะ” เป็นคำแปลจากเนื้อเพลงคริสต์มาสของชาวออสซี่ และเป็นเรื่องจริงเสียด้วย! หากคุณโชคดีพอที่จะได้ใช้เวลาช่วงเทศกาลวันหยุดนี้ในออสเตรเลีย ให้คุณแพ็คครีมกันแดดไปเพิ่ม และเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งดีๆ อีกสามอย่างด้วย ซึ่งก็คืออาหารทะเล สลัด และกีฬา แม้ว่าจะเป็นเรื่องแปลกที่จะรับประทานเมนูร้อนๆ แต่คุณจะไม่หิวโหยแน่นอน ชาวออสซี่มักดื่มด่ำไปกับเมนูอาหารทะเล ปลา ไก่งวงและแฮม พัฟโลวา และแน่นอนว่าต้องมีเครื่องดื่มมีฟองเย็นๆ สักแก้ว สวนหลังบ้านและสระว่ายน้ำของคุณเองคือส่วนสำคัญของวันคริสต์มาส โดยมีเด็กๆ กระโดดลงน้ำเพื่อลองของเล่นในน้ำใหม่ๆ และทั้งครอบครัวจะเพลิดเพลินไปกับเกมคริกเก็ตในสวนหลังบ้าน (ชายหาดก็เช่นกัน ชายฝั่งที่อยู่ใกล้กับเมืองหลวงอย่างบริสเบนซิดนีย์ และ เพิร์ท จะเต็มไปด้วยความรื่นเริงของเทศกาลคริสต์มาสในวันที่ 25 ธันวาคม) ในวันเปิดกล่องของขวัญ (หนึ่งวันหลังคริสต์มาส) ชาวออสเตรเลียอาจออกไปล่าดีลสุดคุ้มที่งาน Boxing Day Sales ชมการแข่งขัน Boxing Day Test (การแข่งคริกเก็ตระหว่างออสเตรเลียและทีมประจำชาติอีกทีมหนึ่ง) ไปชมภาพยนตร์ที่เพิ่มเปิดตัวใหม่ หรือแค่นั่งๆ นอนๆ อยู่กับบ้านRead More
-->
อีกหนึ่ง ไม้ประดับสีสันสดใส ที่เราจะไม่พูดถึงไม่ได้เลยในเทศกาลคริสต์มาสแบบนี้ ก็คือ วิธีปลูกต้นคริสต์มาส เนื่องจาก ใบอ่อนด้านบนของต้นจะมีสีแดงสดในช่วงฤดูหนาว กินระยะเวลาระหว่างปลายปีถึงต้นปีซึ่งตรงกับช่วงเทศกาลคริสต์มาสพอดี ทำให้เรียกกันติดปากกันทั่วไปว่า ต้นคริสต์มาส ต้นคริสต์มาสหรือชื่อจริงคือ ต้น Poinsettia (พอยน์เซตเทีย) เป็นไม้ประดับในตระกูลโกสนกับโป๊ยเซียน ใบส่วนบนสามารถเปลี่ยนสีได้ ซึ่งสีที่ได้จะขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ทั้งสีแดง สีเหลือง สีขาว และ สีชมพู ซึ่งจะมีระยะเวลาที่เปลี่ยนสีได้ช่วงประมาณเดือนตุลาคม-เดือนมีนาคมเท่านั้น ส่วนในช่วงเวลาอื่นนอกเหนือจากนี้ก็จะมีใบสีเขียวตามปกติ และเนื่องจากเป็นต้นไม้ที่มีสีสันสวยงาม ไม่ต้องดูแลมาก และยังช่วยฟอกอากาศ ดูดสารพิษ จึงเป็นที่นิยมปลูกกันโดยทั่วไป โดยจะปลูกลงกระถางตกแต่งไว้ภายในห้อง หรือ ปลูกลงดินในสวนก็ได้เช่นกัน ซึ่ง วิธีปลูกต้นคริสต์มาส ก็ไม่ยาก ดังนี้ค่ะ ต้นคริสต์มาส ชอบดินร่วนซุย โดยให้ผสมดินร่วน 2 ส่วน เศษใบไม้ผุ 1 ส่วน และปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก 1 ส่วน แล้วนำต้นพันธุ์ลงปลูก หรือ หากต้องการเพาะพันธุ์เพิ่มก็สามารถใช้วิธีตัดกิ่งปักชำได้ อุณหภูมิควรอยู่ที่ 16 -20 องศาเซลเซียส โดยตั้งอยู่ในที่มีแดดรำไรRead More
-->
ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสแบบนี้ เวลาเราออกไปข้างนอก ตามห้างฯต่างๆ ก็จะเริ่มเห็นการประดับตกแต่งด้วยต้นคริสต์มาสต้นใหญ่ และดอกไม้ต่างๆอย่างสวยงามอลังการ เต็มไปทั่วแทบจะทุกทิศทุกทางคุณเองก็สามารถสร้างสีสันช่วงเทศกาลแบบนี้ได้ง่ายๆ ที่บ้านของคุณ เราจึงมีต้นไม้ที่นิยมใช้แต่งบ้านในวันคริสต์มาส มาฝากกันจ้าาา 1. ต้นคริสต์มาส (Poinsettia) ต้นคริสต์มาส เป็นดอกไม้พื้นเมืองของประเทศเม็กซิโก เมื่ออากาศหนาวจะเปลี่ยนสีเป็นสีแดง ขาว และชมพู แต่ถ้าสำหรับเทศกาลคริสต์มาสนั้น สีแดงจะเป็นที่นิยิมนำมาใช้ตกแต่งมากกว่า ต้นคริสต์มาสนี้จะชอบแสงแดดปานกลาง ปลูกในที่ร่มได้ และชอบน้ำปานกลาง ไม่มากเกินไปค่ะ 2. มังกรคาบแก้ว (Christmas Cactus) ต้นมังกรคาบแก้วเป็นไม้ประดับลักษณะคล้ายกระบองเพชรหัวห้อยลง เมื่อเข้าฤดูหนาว จะออกดอกสีชมพูและแดง และบานเต็มที่ช่วงคริสต์มาส การปลูกมังกรคาบแก้วควรปลูกในที่ระบายน้ำและถ่ายเทอากาศได้ดี แต่ความชื้นสูง เช่น กาบมะพร้าวสับผสมกับใบก้ามปูผุ ควรรดน้ำวันละ 1 ครั้ง 3. มิสเซิลโท (Mistletoe) 3มิสเซิลโทนิยมนำมาจัดเป็นหรีดห้อยประตู เป็นสัญลักษณ์แห่งมิตร และความรัก เชื่อกันว่าหญิงชายคู่ไหนที่ยืนอยู่ใต้ช่อมิสเซิลโทนั้นจะต้องจูบกัน แต่ถ้าหากปฏิเสธ จะโดนคำสาปให้พบความโชคร้าย 4. ฮอลลี่ (Holly) ต้น Holly เป็นต้นไม้ที่มีความสัมพัธ์กับพระเยซูคริสต์ โดยสีเขียวของต้นนี้แสดงถึงการเป็นอยู่อย่างชั่วนิรันดร์ และสีแดงหมายถึงหยดเลือดของพระเยซูคริสต์ที่ไหลลงบนไม้กางเขนRead More
-->
แสงไฟที่ส่องสว่างประดับประดาต้นคริสต์มาสยักษ์ของอาคาร Rocketfeller ในมหานครนิวยอร์ก ต้อนรับนักท่องเที่ยวและผู้คนที่นั่นมากว่า 85 ปีแล้ว ซึ่งในปีนี้ เป็นต้นสนนอร์เวย์ อายุกว่า 80 ปี สูงถึง 23 เมตร จาก State College รัฐเพนซิลเวเนีย ความสำคัญของต้นคริสต์มาสไม่ได้มีแค่ที่มา แต่ยังรวมถึงที่ไปของมันด้วย เพราะต้นสนสดที่ใช้ประดับประดาเป็นต้นคริสต์มาสประมาณ 25-30 ล้านต้นทั่วอเมริกาทุกปีนี้ ส่วนใหญ่จะมีจุดจบในถังขยะแทบทั้งนั้น … แต่ไม่ใช่กับต้นคริสต์มาสยักษ์ของอาคาร Rockefeller… เพราะหลังจากที่วันที 9 มกราคม ต้นสนนอร์เวย์ยักษ์นี้ จะกลายเป็นส่วนสำคัญในบ้านหลังใหม่ของชาวอเมริกัน ในโครงการ Habitat for Humanity ซึ่งผลักดันโครงการสร้างบ้านราคาย่อมเยาว์สำหรับผู้คนที่นี้ ต้นสนขนาดใหญ่จะถูกตัดเป็นแผ่นไม้สำหรับประกอบเป็นบ้าน พร้อมกับมีตราประทับว่านี่คือแผ่นไม้จากต้นสนยักษ์ของที่นี่ อย่างเมื่อปีที่แล้ว แผ่นไม้จากต้นสนหน้าอาคาร Rockefeller ปีก่อน กลายเป็นส่วนหนึ่งของบ้านหลังใหม่ในนิวเบิร์ก รัฐนิวยอร์ก เคธี คอลลินส์ เจ้าหน้าที่จาก Habitat for Humanity รู้สึกดีใจทุกครั้งที่ได้เห็นแผ่นไม้จากอาคาร Rockefeller และรู้ว่าต้นไม้นี้จะส่งความสุขให้ผู้คนได้มากมาย อย่างไรก็ตามRead More
-->
ช่วงเทศกาลวันคริสต์มาส นอกจากจะมีต้นสนที่ประดับประดาเพื่อการเฉลิมฉลองแล้ว ยังมีพืชชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “มิสเซิลโท” (Mistletoe) ที่ธรรมเนียมตะวันตกนั้นจะให้เราจุมพิตกับคนที่เราอยู่ใต้พุ่มมิสเซิลโทด้วยกัน วันนี้จะพาไปย้อนถึงที่มาที่ไปของมิสเซิลโท ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของความรักและวันคริสต์มาสกัน มิสเซิลโท ชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Phoradendron ที่มาจากภาษากรีก ซึ่งแปลว่า “โจรปล้นต้นไม้” เป็นพืชกาฝากเก่าแก่ ตระกูลเดียวกับไม้จันทน์ ที่เติบโตบนกิ่งไม้พืชยืนต้นอื่นๆ ความพิเศษของมิสเซิลโท คือใบไม้จะไม่ร่วงแม้จะเข้าสู่ฤดูหนาวอันโหดร้ายหรือเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิแล้วก็ตาม อีกทั้งยังเป็นพืชที่มีมากถึง 1,300 สายพันธุ์ทั่วโลก ด้วยความพิเศษของพืชกาฝากชนิดนี้ ทำให้ต้นมิสเซิลโท เป็นประโยชน์กับนก ผึ้ง และผีเสื้อเมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวที่พืชต่างๆล้มตาย มิสเซิลโทปรากฏอยู่ในบันทึกตำนาน ประเพณี บทประพันธ์ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ตำนานหนึ่งที่ถูกบันทึกไว้ใน Smithsonian ระบุว่า ในช่วงคริสตศตวรรษที่ 13 Baldur บุตรของเทพแห่งดวงอาทิตย์ ที่สิ่งมีชีวิตทั้งโลกเกลียดชัง เดือดร้อนถึงภรรยาและ Frigga เทพแห่งความรักและการแต่งงาน จึงต้องร้องขอสิ่งมีชีวิตและสรรพสัตว์ทั้งโลกให้ไว้ชีวิต Baldur แต่กลับลืมต้นมิสเซิลโท ลูกธนูที่ทำจากพืชกาฝากชนิดนี้จึงกลายเป็นอาวุธสังหาร Baldur ในที่สุด ตำนานหลังจากการลอบสังหารก็มีความหลากหลาย บ้างก็ว่า Frigga ผู้เป็นมารดาหลั่งน้ำตาแห่งความอาดูรจนทำให้ผลของมิสเซิลโทกลายเป็นสีขาว บ้างก็ว่า BaldurRead More
-->
Merry Christmas ค่าาา ทุกคนนน… มีใครได้ของขวัญจากซานต้าบ้างมั๊ยคะ อิอิ มายด์เชื่อว่าสิ้นปี ใกล้ปีใหม่แบบนี้ หลายๆ คนต้องอินกับบรรยากาศสุด festive อยู่แน่ๆ เพราะหลายๆ พื้นที่โดยเฉพาะห้างใหญ่ ก็เนรมิตต้นคริสมาสต์กับ setup สุดอลังเพิ่มความอิน จนสาวๆ หนุ่มๆ ทั้งหลายต้องรีบคว้ากล้องออกไปถ่ายรูปกันเลยทีเดียว หลายๆ คงไถ FB IG เห็นกันจนเบื่อแล้วหละ วันนี้มายด์เลยจะพาดูบรรยากาศสุด festive แบบไม่ซ้ำใคร โดยจะพาไปไกลถึงกรุงมอสโคว ประเทศรัสเซียค่าา เป็นบรรยากาศเล็กๆ น้อยๆ แต่ Festive สุดๆ ทั้งบรรยากาศและอากาศเลยค่ะ ปกติแล้วคนรัสเซียจะไม่ฉลองคริสมาสต์ในวันที่ 25/12 นะคะ เพราะว่าคนส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาคริสต์ นิกาย Orthodox ค่ะ แต่ก็จะตกแต่งห่างร้านต่างๆ ให้เข้ากับเทศกาล เหมือนกับบ้านเรานั้นแหละค่ะ จะเป็นยังไงไปดูกันเลย….. (ส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณ Red Square หรือจตุรัสแดงนะคะ) ตรงโซนนี้ จะมีต้นคริสต์มาสเป็นร้อยๆ ต้นเลยค่ะ เสียดายถ่ายรูปมาน้อยไปหน่อยRead More
-->
ความสำคัญของวันคริสต์มาสวันคริสต์มาส เป็นเทศกาลที่เฉลิมฉลองวันประสูตรของพระเยซูตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี ในต่างประเทศที่มีผู้คนนับถือศาสนาคริสต์ จะถือว่าเอาช่วงเวลานี้เป็นวันหยุดยาว เพื่อให้ชาวคริสต์ได้กลับไปใช้ชีวิต พบปะ สังสรรค์และได้ใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวของพวกเขาในช่วงเวลาสำคัญแห่งปีนั้นเอง และแน่นอนวันคริสต์มาสก็ทำให้เกิดประเพณี หรือวัฒนธรรมปฏิบัติเยอะแยะมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการห้อยถุงเท้า การตกแต่งต้นคริสต์มาส แต่ละประเพณีมีความสำคัญอย่างไร วันนี้เฮเฟเล่จะพาไปรู้กัน 7 ธรรมเนียมวันคริสต์มาส (ฉบับออริจินอล) 1. การแขวนถุงเท้า ( HANGING STOCKINGS) เมื่อถึงช่วงเวลาวันคริสต์มาสอีฟ นิยมนำถุงเท้ายาวไปห้อยไว้ที่หน้าเตาผิง หรือที่ต้นคริสต์มาส เพราะเชื่อกันว่าซานตาครอสจะนำของขวัญที่อยากได้มาใส่ไว้ในถุงเท้านั่นเอง แต่ความเป็นจริงแล้ว ที่มาของการแขวนถุงเท้ามาจาก ความเชื่อที่ว่า การวางหญ้าแห้งไว้ในรองเท้า เมื่อนักบุญนิโคลัส (ซานต้าคลอสคนแรก) เดินทางผ่านมา จะนำหญ้าแห้งมาเป็นอาหารให้กับลาของเขา และจะทิ้งเหรียญเงินไว้ในรองเท้าเพื่อเป็นการตอบแทนนั้นเอง หรือบางความเชื่อก็ว่า มีพี่น้อง 3 คน ฐานะยากจน ไม่มีเงินกระทั่งจะต้องไปทำงานโสเภณี เรื่องรู้ถึงนักบุญนิโคลัส จึงได้นำเหรียญทองไปหยอดลงปล่องไฟ แต่เหรียญกลับตกลงไปในถุงเท้าของ 3 พี่น้องที่แขวนไว้หน้าปล่องไฟ รุ่งเช้าเมื่อ 3 พี่น้องมาเจอเหรียญ ทำให้พวกเธอดีใจ และเลิกล้มความคิดที่จะไปเป็นโสเภณี ต่อมาก็มีผู้คนมากมายแขวนถุงเท้าคริสต์มาสไว้ โดยหวังว่าจะได้รับของขวัญในลักษณะเดียวกันบ้าง Read More
-->
ใกล้วันคริสต์มาสแล้ว หลิงๆเลยอยากจะนำเอา #คำศัพท์ภาษาอังกฤษ เกี่ยวกับ #วันคริสต์มาส มาฝากเพื่อนคำบางคำเราอาจจะเคยได้ยินจากหนังหรือเพลง แต่เราอาจจะไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไรหรือบางทีเราอาจจะรู้ว่ามันคืออะไร แต่เราอาจจะไม่รู้ว่ามันเกี่ยวอะไรกับวันคริสต์มาสวันนี้หลิงๆเลยขอเสนอ 19 คำที่เราจะเจอบ่อยๆในเทศกาลคริสต์มาสนี้มาแชร์ให้เพื่อนๆค่ะ 1. Sleigh : [สเล]หมายถึง แคร่เลื่อนหิมะที่เล่าลือกันวันเจ้าแคร่เลื่อนนี้เป็นพาหนะที่คุณลุงซานต้าใช้ในการส่งของขวัญให้กับเด็กๆ 2. Mistletoe : [มิส’เซิลโท]หมายถึง พืชไม้ดอกสีเหลืองมีผลเล็กๆสีขาวค่ะ ถูกนำมาใช้ประดับในเทศกาลคริสต์มาสเพราะเชื่อกันว่ามิสเซิลโทมีพลังวิเศษในการบำบัดโรคทุกชนิดตั้งแต่การมีลูกยากของผู้หญิงไปจนถึงการแก้พิษต่างๆ และมียังมีความเกี่ยวพันกับเทพธิดาฟริกกาซึ่งเป็นเทพธิดาแห่งความรัก เลยมีธรรมเนียมในการจุมพิตกันใต้ต้นมิสเซิลโทเกิดจากความเชื่อที่ว่าการจูบกันใต้กิ่งของต้นพืชชนิดนี้จะช่วยเสริมสร้างความรักระหว่างคู่รักได้ ปัจจุบันเลยกลายเป็นว่าถ้าคู่ยืนอยู่ใต้มิสเซิลโทจะต้องจูบกัน น่ารักไปอีกแบบเนอะ อิๆคราวนี้เข้าใจเพลง Mistletoe ของ Justin Bieber แล้วใช่ไหมคะ ว่าทำไม Justin ถึงร้อง “I’mma be under the mistletoe with you.” ที่แปลว่า ฉันจะอยู่ใต้ mistletoe กับคุณ Play 3. Wrapping paper : [แรพ’พิง ]หมายถึง กระดาษสำหรับห่อ นั้นเองค่ะ 4. Santa Claus : [แซน’ทะ คลอซ]หมายถึง ซานตาคลอสคำนี้คงไม่มีใครไม่ทราบเนอะ 555+ จริงๆจะหมายถึง นักบุญRead More
-->
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าวันคริสต์มาสเป็นหนึ่งเทศกาลที่สำคัญของโลก ถือเป็นเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ประจำปีของคริสต์ศาสนิกชนทั่วโลก โดยบรรดาห้างสรรพสินค้าต่างพร้อมใจกันตกแต่งประดับประดาไฟให้สวยงาม อีกทั้งยังเปิดเพลงที่เป็นเพลงประจำเทศกาลเพื่อให้ผู้ฟังรู้สึกสนุกสนานและมีอารมณ์ร่วมไปกับเทศกาลนี้ ในปัจจุบันผู้ที่ไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์ในหลายๆประเทศต่างก็หันมาเฉลิมฉลองและมีอารมณ์ร่วมกันมากขึ้น ซึ่งบ่งบอกถึงความเป็นเทศกาลแห่งความสุขได้เป็นอย่างดี เรามาทำความรู้จักกับสิ่งของที่เป็นดั่งสัญลักษณ์ของเทศกาลนี้กันว่ามีอะไรบ้าง และมีความเป็นมาอย่างไร 1. ต้นคริสต์มาสและของประดับต้นคริสต์มาส ต้นคริสต์มาสนั้นมักจะใช้เป็นต้นสนป่าดิบ หรือต้นไม้ประดิษฐ์ที่เป็นลักษณะของต้นสน โดยจุดเริ่มต้นของต้นคริสต์มาสนั้นเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 16 ที่ประเทศเยอรมันนี ต้นคริสต์มาส หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า โดยตามพระคัมภีร์นั้นได้เปรียบพระเยซูเจ้าเสมือนเป็นต้นไม้แห่งชีวิต ซึ่งเป็นต้นไม้ที่เขียวเสมอในทุกฤดูกาล สื่อถึงนิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า ต่อมาก็มีการตกแต่งด้วยขนมอบรูปนางฟ้าบ้าง หรือลูกกวาดสีสันต่างๆ ดอกไม้ หัวใจ และดวงดาว การตกแต่งแบบนี้ถูกแพร่หลายในเยอรมันและทั่วทั้งทวีปยุโรป 2. The Nutcracker ตุ๊กตาที่แกะถั่ว บันทึกจากนิทานของเยอรมันนี คนส่วนมากจะให้เจ้านัทแครกเกอร์เป็นของที่ระลึก เพราะเป็นการแสดงถึง การนำความโชคดีมาสู่ครอบครัวและคอยช่วยปกป้องครอบครัวจากปีศาจให้ออกไป ในอดีตนั้นตุ๊กตานัทแครกเกอร์จะมีลักษณะเป็น นก สัตว์ และคน จนกระทั่งในปี 1600s และ 1700s ได้มีการออกแบบเป็นรูปกษัตริย์ และทหารเหมือนเช่นทุกวันนี้ ส่วนสาเหตุที่เจ้า Nutcracker มาเป็นสัญลักษณ์ของเทศกาลนั้น มาจากการแสดงบัลเล่ ในนิยาย The NutcrackerRead More
-->
วันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี จะเป็นวันคริสต์มาสที่หลายคนรอคอย ซึ่งเราได้รวบรวมการเฉลิมฉลองในแต่ละพื้นที่ทั่วโลกให้เห็นความเหมือนที่แตกต่างในการเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความสุขนี้ สหรัฐฯ – พอถึงเช้าวันที่ 25 ธันวาคม ชาวอเมริกันกว่า 90 เปอร์เซนต์จะร่วมฉลองเทศกาลแห่งความสุขนี้ โดยเฉพาะเด็กๆ จะวิ่งไปรวมกันที่ต้นคริสต์มาสและถุงเท้าซานตา หรือ Stockings เพื่อดูว่าปีนี้พวกเขาจะได้ของขวัญจากซานตาคลอสกี่ชิ้น แต่ก่อนที่จะได้ของขวัญนั้น เด็กๆจะเขียน Christmas List หรือรายการของขวัญที่อยากได้จากซานตา และต้องเป็นเด็กดีตลอดเทศกาลด้วย อิตาลี – มีตำนานของ Befana แม่มดชราขี่ไม้กวาดไปทั่วอิตาลีในวัน Epiphany หรือวันที่ 6 มกราคมของทุกปี เพื่อแจกของขวัญแก่เด็กๆ ถ้าเด็กดีก็จะได้ของขวัญหรือขนมในถุงเท้าที่ใส่ของขวัญ แต่ถ้าเป็นเด็กดื้อ ก็จะได้ “ถ่าน” ไปแทน ด้านข้อมูลจากองค์กร One campaign บอกว่า ตำนานนี้ยังคล้ายคลึงกับหญิงชรา Bayka ในหลายประเทศของทวีปแอฟริกา มีเรื่องเล่าขานกันว่า หญิงชรา Bayka คือ ปีศาจที่เที่ยวเดินไปตามท้องถนนเพื่อขอของขวัญจากผู้คนในวันคริสต์มาส ยุโรป – ข้ามไปที่ฝั่งยุโรปก็คึกคักไม่แพ้กัน เพราะที่นั่นจะมีการฉลองวัน St. Nicholas DayRead More
-->