มนต์เสน่ห์ที่น่าอัศจรรย์กับเทศกาลคริสต์มาส

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าวันคริสต์มาสเป็นหนึ่งเทศกาลที่สำคัญของโลก ถือเป็นเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ประจำปีของคริสต์ศาสนิกชนทั่วโลก โดยบรรดาห้างสรรพสินค้าต่างพร้อมใจกันตกแต่งประดับประดาไฟให้สวยงาม อีกทั้งยังเปิดเพลงที่เป็นเพลงประจำเทศกาลเพื่อให้ผู้ฟังรู้สึกสนุกสนานและมีอารมณ์ร่วมไปกับเทศกาลนี้ ในปัจจุบันผู้ที่ไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์ในหลายๆประเทศต่างก็หันมาเฉลิมฉลองและมีอารมณ์ร่วมกันมากขึ้น ซึ่งบ่งบอกถึงความเป็นเทศกาลแห่งความสุขได้เป็นอย่างดี เรามาทำความรู้จักกับสิ่งของที่เป็นดั่งสัญลักษณ์ของเทศกาลนี้กันว่ามีอะไรบ้าง และมีความเป็นมาอย่างไร

 1. ต้นคริสต์มาสและของประดับต้นคริสต์มาส

ต้นคริสต์มาสนั้นมักจะใช้เป็นต้นสนป่าดิบ หรือต้นไม้ประดิษฐ์ที่เป็นลักษณะของต้นสน โดยจุดเริ่มต้นของต้นคริสต์มาสนั้นเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 16 ที่ประเทศเยอรมันนี ต้นคริสต์มาส หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า โดยตามพระคัมภีร์นั้นได้เปรียบพระเยซูเจ้าเสมือนเป็นต้นไม้แห่งชีวิต ซึ่งเป็นต้นไม้ที่เขียวเสมอในทุกฤดูกาล สื่อถึงนิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า ต่อมาก็มีการตกแต่งด้วยขนมอบรูปนางฟ้าบ้าง หรือลูกกวาดสีสันต่างๆ ดอกไม้ หัวใจ และดวงดาว การตกแต่งแบบนี้ถูกแพร่หลายในเยอรมันและทั่วทั้งทวีปยุโรป

2. The Nutcracker ตุ๊กตาที่แกะถั่ว

บันทึกจากนิทานของเยอรมันนี คนส่วนมากจะให้เจ้านัทแครกเกอร์เป็นของที่ระลึก เพราะเป็นการแสดงถึง การนำความโชคดีมาสู่ครอบครัวและคอยช่วยปกป้องครอบครัวจากปีศาจให้ออกไป ในอดีตนั้นตุ๊กตานัทแครกเกอร์จะมีลักษณะเป็น นก สัตว์ และคน  จนกระทั่งในปี 1600s และ 1700s ได้มีการออกแบบเป็นรูปกษัตริย์ และทหารเหมือนเช่นทุกวันนี้ ส่วนสาเหตุที่เจ้า Nutcracker มาเป็นสัญลักษณ์ของเทศกาลนั้น มาจากการแสดงบัลเล่ ในนิยาย The Nutcracker and the king of Mice หรือ นัทแครกเกอร์กับราชาหนูในปี 1700s-1800s นั่นเอง

3. The Christmas Wreath

เป็นประเพณีที่นิยมกระทำกันในช่วงเทศกาลที่มีความสำคัญ รวมถึงช่วงเทศกาลคริสต์มาสด้วย พวงมาลัยเป็นสิ่งเตือนใจให้ระลึกถึงมงกุฏหนามที่อยู่บนศีรษะของพระเยซู เชื่อกันว่า พวงมาลัยคริสต์มาสนั้นจะสามารถช่วยป้องกันบ้านเรือนจากพวกพลังอันชั่วร้ายได้ 

4. ถุงเท้าใส่ของขวัญ

ต้นกำเนิดของถุงเท้าคริสมาสตร์เกิดจาก เซนต์นิโคลัส(Saint Nicholas of Myra หรือรู้จักกันในนาม Nicholas of Bari เป็นนักบุญในยุคกรีกโบราณ หรือ ซานตาคลอส นั่นเอง) ที่ต้องการช่วยเหลือพี่น้องผู้ยากจน 3 คน แต่พ่อของเธอไม่ต้องการความช่วยเหลือ เซนต์นิโคลัสเลยได้ทำการช่วยเหลือแบบลับๆ ในตอนกลางคืนเขาได้หิ้วถุงที่ใส่ทองเต็มๆมาสามใบ(บ้างว่าเป็น ลูกบอลทองหรือส้มแทน) แอบเข้ามาทางหน้าต่าง แล้วได้นำไปใส่ไว้ในถุงเท้ายาวที่แขวนไว้ เมื่อเด็กสาวและพ่อของเขาตื่นขึ้นมาในตอนเช้าและได้พบถุงที่เต็มไปด้วยทองก็ดีใจ จึงเป็นที่มาว่าทำไมต้องแขวนถุงเท้าคริสมาสตร์เอาไว้

5. Snowman หรือตุ๊กตาหิมะ

ไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดถึงการสร้างสโนว์แมน แต่สโนว์แมนอาจถูกสร้างขึ้นเพื่อความบันเทิงโดยการขว้างปาหรือทำลายสโนว์แมนตัวนั้นเพื่อความสนุกสนานและผ่อนคลายเท่านั้น โดยส่วนมากการสร้างสโนว์แมนจะถูกปั้นเป็นก้อนหิมะกลมๆ2-3ก้อนเรียงต่อกันและตกแต่งด้วยกิ่งไม้,แครอท,และเสื้อผ้าเช่นหมวกหรือผ้าพันคอ ในปัจจุบันสโนว์แมนไม่ได้ปรากฏอยู่แค่ข้างทางหรือหน้าบ้านคน แต่ยังเห็นได้บ่อยๆ ในหนัง, หนังสือ ของเล่นหรือของประดับต่างๆ และตัวละครในการ์ตูนอีกมากมาย พอพูดถึงตรงนี้แล้วก็นึกถึงเจ้า “โอลาฟ” สโนว์แมนช่างจ้อในการ์ตูนเรื่อง Frozen

6. ซานตาคลอส

ซานตาคลอส หรืออีกชื่อหนึ่งคือ นักบุญนิโคลัส หรืออาจเรียกสั้น ๆ ว่า “ซานตา” เป็นผู้นำเหล่าของขวัญไปมอบให้กับเด็กดีในช่วงเย็นและข้ามคืนวันคริสต์มาส โดยทั่วไปซานตาคลอสถูกพรรณนาว่าเป็นชายผิวขาวร่างท้วมหนวดเคราปกคลุมใบหน้า สวมเสื้อโค้ดสีแดงกับ กางเกงขายาวสีแดง เข็มขัดและรองเท้าหนังสีดำ เป็นผู้ที่มีนิสัยร่าเริงสนุกสนาน เชื่อกันว่าซานตาคลอสทำรายชื่อเด็กทั่วโลก และแบ่งประเภทพวกเขาตามพฤติกรรม (“ดื้อ” หรือ “น่ารัก”) และมอบของขวัญ รวมทั้งของเล่นและลูกกวาดสำหรับเด็กประพฤติดีในโลก และบางครั้งส่งถ่านหินไปให้เด็กดื้อ ภายในคืนวันคริสต์มาสอีฟคืนเดียว เขาสำเร็จได้ด้วยความช่วยเหลือของเอลฟ์ผู้ทำของเล่นในโรงงาน และกวางเรนเดียร์ที่ลากเลื่อนหิมะของเขา

 7. กวางเรนเดียร์

เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์สำคัญของเทศกาลนี้เลยก็ว่าได้ การที่กวางฝูงหนึ่งมาเป็นพาหนะของซานตาคลอสในการส่งของขวัญได้อย่างไร บางตำนานเล่าว่ามีกวางเรนเดียร์อยู่เก้าตัวที่เป็นพาหนะแล้วรู้ไหมว่ากวางเรนเดียร์ของซานตาคลอสมีชื่อเรียกด้วยนะ ชื่อ Dasher, Dancer, Prancer, Vixen, Comet, Cupid, Donner and Blitzen ถูกค้นพบในบทกวี  “A Visit from St. Nicholas” หรือที่รู้จักกันใน “The Night Before Christmas” และตัวที่ 9 ชื่อ Rudolph ที่ปรากฏมาในเพลง “Rudolph the Red-Nosed Reindeer”  ในปี 1823 บทกวีได้บอกว่า

When, what to my wondering eyes should appear,
(เมื่อบางสิ่งที่น่าอัศจรรย์ได้ปรากฏขึ้นในตาของฉัน)
but a miniature sleigh, and eight tiny rein-deer,
(รถเลื่อนขนาดเล็กและกวางเรนเดียร์ตัวน้อยแปดตัว)
with a little old driver, so lively and quick,
(กับตาแก่คนขับตัวน้อยที่ดูร่าเริงสนุกสนานและว่องไว)
I knew in a moment it must be St. Nick.
(ฉันรู้ได้ทันทีเลยว่ามันต้องเป็น ซานตาคลอสแน่นอน)
More rapid than eagles his coursers they came,
(ความเร็วของนกอินทรียังเทียบไม่ได้ กับความเร็วที่เขามา)
And he whistled, and shouted, and call’d them by name
(และเขาได้ผิวปากและตะโกนและได้เรียกชื่อกวางเหล่านั้นว่า)
“Now, Dasher! Now, Dancer! Now, Prancer, and Vixen!
(ไป Dasher! ไป Dancer! ไป Prancer และ Vixen!)
“On, Comet! On, Cupid! On, Dunder and Blixem!
(ไป Comet! ไป Cupid! ไป Dunder และ Blixem!)
“To the top of the porch! to the top of the wall!
(ไปที่บนสุดของระเบียง! ไปที่บนสุดของกำแพง!)
“Now dash away! dash away! dash away all!”
(ตอนนี้รีบไปเลย! ตอนนี้รีบไปเลย! ตอนนี้รีบไปเลย!)
As dry leaves that before the wild hurricane fly,
(ดังเช่นกับใบไม้แห้งก่อนที่พายุเฮริเคนมา)
When they meet with an obstacle, mount to the sky;
(เมื่อพวกเขาเจออุปสรรค ก็หันหัวขึ้นไปบนฟ้า)
So up to the house-top the coursers they flew,
(บินไปบนหลังคาบ้านอย่างรวดเร็ว)

ทั้งหมดนี่ก็เป็นสัญลักษณ์เล็กๆน้อยที่ผู้เขียนหามาให้ผู้อ่านได้รู้จักมากขึ้น ซึ่งตอนนี้ก็ใกล้จะถึงเทศกาลคริสต์มาสแล้ว ขอให้ทุกคนมีความสุขมากๆ และเป็นเด็กดีไว้นะครับ ลุงซานตาคลอสจะนำของขวัญไปให้คุณ : )

-->