ชวนอินเล็กๆ กับเทศกาลฝรั่ง วันคริสต์มาส อีกหนึ่งวัฒนธรรมที่ดังทั่วโลก อย่างเราคงไม่อินบินไปไกล แต่เก็บข้อมูลไว้เพื่อมีสักครั้งที่ได้ไปเยือนประเทศเหล่านี้ กับ 9 สถานที่ฉลองคริสต์มาส ที่ดีที่สุดในโลก สถานที่ฉลองคริสต์มาส ที่ดีที่สุดในโลก 1. Lapland, Finland ประเทศฟินแลนด์ ถูกขนานนามว่าเป็นดินแดนมหัศจรรย์ซึ่งเชื่อกันว่ามี ซานตาคลอส ตัวจริงอาศัยอยู่ที่เมือง Rovaniemi ใน แลปแลนด์ โดยนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปพบเขาและช่วยตระเตรียมขนมปังสำหรับแจกในเทศกาลคริสต์มาส หรือถ้าอยากย้อนความฝันวัยเยาว์ จะขอนั่งตักพี่เค้าด้วยก็ได้นะ ใครไม่ชอบเบียดเสียดกับฝูงชนที่เฝ้ารอซานต้าอยู่หน้าบ้าน ก็มีอีกทางเลือกหนึ่งให้ไปที่ เมือง Kuusamo และว่ากันอีกว่า ซานต้าผู้นี้สามารถพูด-ฟังได้ทุกภาษา เลยตัดปัญหาภาษาใบ้ ภาษามือไปซะ! 2. Granada, Spain กรานาดา คือ สถานที่ท่องเที่ยวที่ดีที่สุดในช่วงคริสต์มาส ของประเทศสเปน นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสความงดงามของหิมะที่ปกคลุมยอดเขา Sierra Nevada สถานที่ซึ่งเป็นสุดยอดของการเล่นสกี และ พระราชวัง Alhambra อันวิจิตรพิสดารซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาเซียรา เนวาดา พร้อมตื่นตาด้วยขบวนพาเหรดสุดแฟนตาซี งานนี้ไม่มีซานต้าก็เอาอยู่ 3. Oslo, Norway ประเทศนอร์เวย์ ได้ขึ้นชื่อว่าเป็น ประเทศที่มีหิมะปกคลุมมากที่สุดในโลก ถ้าอยากเห็นกับตาต้องไปสัมผัสและกระโดดสกีที่ Holmenkollen บนเขาออสโลสักครั้ง โดยสามารถนั่งรถไฟใต้ดินไป หรือ จะเดินทางแบบคลาสสิกด้วยกวางลากเลื่อน เป็นกลิ่นไอแบบคริสต์มาสแท้ และอย่าแปลกใจจถ้าเห็นคนแคระเดินเคียงคู่ซานต้า แต่จงรีบอธิษฐานขอพรซะ! 4. New York, USA คริสต์มาส แห่ง นิวยอร์ค เต็มไปด้วยสีสันแห่งการช้อปที่ไม่สิ้นสุด ความคึกคักสามารถจินตนาการได้จากหนังเรื่อง Home Alone เพราะบรรยากาศใช่เลยยังไงยังงั้น มาเมืองนี้ที่เดียวแต่ได้ฉลองตลอดเส้น ตั้งแต่ สะพานบรูคลิน ฟังเพลงประสานเสียงที่ ไทม์แสควร์ และเดินเล่นรอบเมืองที่ประดับประดาด้วยแสงสี สัญลักษณ์แห่งเทศกาลคริสต์มาสRead More
-->
วันคริสต์มาส เป็นวันที่มีความสำคัญวันหนึ่งในศาสนาคริสต์ มิได้เป็นวันสำคัญฝ่ายร่างกาย หรือจัดงานสังสรรค์รื่นเริงซึ่งเป็นแต่เพียงเปลือกนอกของการเฉลิมฉลองคริสต์มาสเท่านั้น แต่แก่นแท้ของวันคริสต์มาสอยู่ที่ความรักของพระเจ้าที่มีต่อโลกมนุษย์ หมายถึง พระเจ้าทรงรักมนุษย์มากเสียจนยอมส่งพระบุตรแต่องค์เดียวของพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ที่มีเนื้อหนังมังสา นามว่า เยซู นับว่าการที่พระเจ้าได้ถ่อมองค์และเกียรติลงมาเกิดเป็นมนุษย์ นั่นก็เพื่อช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากการเป็นทาสของความชั่วและบาปต่างๆ ฉะนั้นความสำคัญของวันคริสต์มาสจึงอยู่ที่การเฉลิมฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อโลกมนุษย์อย่างเป็นจริงเป็นจัง และได้เห็นตัวตนในพระเยซูคริสต์ที่มาเกิดเป็นมนุษย์มากกว่าสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น การเฉลิมฉลองในวันคริสต์มาส วันคริสต์มาส เป็นเทศกาลหลักและวันหยุดราชการในประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่มิใช่คริสต์ศาสนิกชนอีกด้วย ในบางประเทศที่ไม่ได้เป็นคริสต์ ประเทศเหล่านี้ได้มีการรับเอาเทศกาลคริสต์มาสเข้ามาระหว่างที่ถูกปกครองเป็นอาณานิคม อย่าง ฮ่องกง ส่วนในประเทศอื่นประชากรก็ค่อยๆ รับเอาการเฉลิมฉลองของคริสต์ศาสนิกชนกลุ่มน้อย หรืออิทธิพลจากวัฒนธรรมต่างประเทศมาหลายประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น เกาหลี ก็กลายเป็นประเทศที่เทศกาลคริสต์มาสได้รับความนิยม ถึงแม้ว่าจะมีคริสต์ศาสนิกชนน้อย แต่ก็ได้รับเอาคริสต์มาสส่วนที่เป็นฆราวาสมาหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การให้ของขวัญ การประดับตกแต่ง รวมถึงต้นคริสต์มาส นอกจากนั้นก็ยังมีประเทศที่ไม่ได้กำหนดให้วันคริสต์มาสเป็นวันหยุดราชการ อาทิ สาธารณะรัฐประชาชนจีน ยกเว้น ฮ่องกง และมาเก๊า ญี่ปุ่น อัลจีเรีย ไทย เนปาล อิหร่าน ตุรกี และเกาหลีเหนือ เป็นต้น การเฉลิมฉลองในเทศกาลคริสต์มาสอาจมีรูปแบบที่แตกต่างกันทั่วโลกซึ่งสะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมประเพณีของแต่ละชาติได้อย่างชัดเจนมาก ในกลุ่มประเทศที่มีประเพณีแบบคริสต์มั่นคง การเฉลิมฉลองในเทศกาลคริสต์มาสก็ได้รับการปรับปรุงจนกระทั่งกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมในแต่ละถิ่น แต่ละภูมิภาค สำหรับคริสต์ศาสนิกชนแล้ว การเข้าร่วมศาสนพิธีถือเป็นส่วนสำคัญในการยอมรับเทศกาลดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นคริสต์มาส เทศกาลอีสเตอร์ ก็เป็นช่วงที่มีผู้คนเข้าโบถส์มากที่สุดในแต่ละปี ส่วนในประเทศคาทอลิกRead More
-->
วันคริสต์มาส (Christmas) หรือ วันสมโภชพระคริสตสมภพ จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซู นับเป็นวันหยุดทางศาสนา มีวัฒนธรรมของประชากรหลายพันล้านคนทั่วโลกนิยมจัดการเฉลิมฉลองในวันที่ 25 ธันวาคม ซึ่งในวันดังกล่าวจะเน้นปีพิธีกรรมของคริสต์ศาสนิกชนเป็นสำคัญ วันคริสต์มาส เป็นวันปิดเทศการเตรียมการรับเสด็จ (Advent) และวันเริ่มต้นเทศกาลพระคริสตสมภพ (Christmastide) ทั้งสิ้น 12 วัน อีกทั้ง วันคริสต์มาสก็เป็นวันหยุดราชการในหลายๆ ประเทศทั่วโลก รวมถึงมีผู้ที่ไม่ใช่คริสต์ศาสนิกชนก็หันมาเฉลิมฉลองกันมากขึ้น ก่อนถึงวันคริสต์มาส คริสต์มาสอีฟ (Christmas Eve) นับเป็นวันเริ่มแรกก่อนเข้าสู่เทศกาลคริสต์มาส หากดูจากฝั่งตะวันตกโดยทั่วไปจะตรงกับวันที่ 24 ธันวาคมของทุกปีตามแบบระบบปฏิทินสมัยใหม่ โดยคริสต์มาอีฟ มีความหมาย คือ เย็นแรกของวันคริสต์มาส ในวันนี้จะมีการเฉลิมฉลองเพื่อระลึกถึงการประสูติของพระเยซู ประวัติวันคริสต์มาส วันคริสต์มาส เป็นวันเฉลิมฉลองการมาประสูติของพระเยซูผู้เป็นศาสดาของชาวคริสต์ทั่วโลก นับว่าเป็นอีกหนึ่งวันเฉลิมฉลองที่มีความสำคัญและมีความหมายมากที่สุดวันหนึ่ง เพราะชาวคริสต์ถือว่า พระเยซู มิได้เป็นแต่เพียงมนุษย์ธรรมดาๆ ที่เกิดมาเหมือนกับเด็กทั่วไป แต่พระองค์เป็นบุตรของพระเจ้าผู้สูงสุดและมีพระธรรมชาติเป็นพระเจ้าและเป็นมนุษย์ในพระองค์เอง การบังเกิดของพระองค์จึงเป็นเหตุการณ์พิเศษที่เหมือนกับการเกิดใดๆ และไม่มีใครเหมือน เมื่อครั้งประสูติพระเยซูเจ้า เวลานั้น จักรพรรดิออกัสตัสได้รับสั่งให้ราษฎรทุกคนที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรโรมันไปลงทะเบียนสำมะโนประชากร โยเซฟและมารีย์ที่มีครรภ์แก่จึงต้องเดินทางไปยังเมืองเบธเลเฮมอันเป็นเมืองที่กษัตริย์ดาวิดประสูติ เมื่อถึงกำหนดที่มารีย์จะคลอดบุตร เธอก็ได้คลอดบุตรชายหัวปี เธอได้เอาผ้าพันกายพระกุมารจากนั้นก็วางไว้ในางหญ้า เนื่องจากตามโรงแรมไม่มีที่พัก ในคืนนั้น ฑูตสวรรค์ของพระเจ้าได้ปรากฏแก่พวกเลี้ยงแกะ คนเหล่านั้นตกใจกลัวมาก แต่ฑูตสวรรค์ก็ได้ปลอบไปป่า “อย่ากลัวไปเลย เพราะเรานำข่าวดีมาบอก คืนนี้เองในเมืองของกษัตริย์ดาวิดมีพระผู้ช่วยให้รอดประสูติ พระองค์นั้นเป็นพระคริสต์พระเป็นเจ้า นี่จะเป็น หลักฐานให้พวกท่านแน่ใจ คือ พวกท่านจะพบพระกุมารมีผ้าพันกายRead More
-->
วันคริสต์มาส เป็นเทศกาลหลักและวันหยุดราชการในประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่มิใช่คริสต์ศาสนิกชนอีกด้วย ในบางประเทศที่ไม่ได้เป็นคริสต์ ประเทศเหล่านี้ได้มีการรับเอาเทศกาลคริสต์มาสเข้ามาระหว่างที่ถูกปกครองเป็นอาณานิคม อย่าง ฮ่องกง ส่วนในประเทศอื่นประชากรก็ค่อยๆ รับเอาการเฉลิมฉลองของคริสต์ศาสนิกชนกลุ่มน้อย หรืออิทธิพลจากวัฒนธรรมต่างประเทศมาหลายประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น เกาหลี ก็กลายเป็นประเทศที่เทศกาลคริสต์มาสได้รับความนิยม ถึงแม้ว่าจะมีคริสต์ศาสนิกชนน้อย แต่ก็ได้รับเอาคริสต์มาสส่วนที่เป็นฆราวาสมาหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การให้ของขวัญ การประดับตกแต่ง รวมถึงต้นคริสต์มาส นอกจากนั้นก็ยังมีประเทศที่ไม่ได้กำหนดให้วันคริสต์มาสเป็นวันหยุดราชการ อาทิ สาธารณะรัฐประชาชนจีน ยกเว้น ฮ่องกง และมาเก๊า ญี่ปุ่น อัลจีเรีย ไทย เนปาล อิหร่าน ตุรกี และเกาหลีเหนือ เป็นต้น การเฉลิมฉลองในเทศกาลคริสต์มาสอาจมีรูปแบบที่แตกต่างกันทั่วโลกซึ่งสะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมประเพณีของแต่ละชาติได้อย่างชัดเจนมาก ในกลุ่มประเทศที่มีประเพณีแบบคริสต์มั่นคง การเฉลิมฉลองในเทศกาลคริสต์มาสก็ได้รับการปรับปรุงจนกระทั่งกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมในแต่ละถิ่น แต่ละภูมิภาค สำหรับคริสต์ศาสนิกชนแล้ว การเข้าร่วมศาสนพิธีถือเป็นส่วนสำคัญในการยอมรับเทศกาลดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นคริสต์มาส เทศกาลอีสเตอร์ ก็เป็นช่วงที่มีผู้คนเข้าโบถส์มากที่สุดในแต่ละปี ส่วนในประเทศคาทอลิก ประชากรจะจัดการเดินขบวนทางศาสนา หรือขบวนแห่ก่อนคริสต์มาส และในประเทศอื่นๆ ก็ได้มีการจัดการเดินขบวนฆราวาส หรือขบวนแห่ที่นำเอาซานตาคลอส และบุคคลสัญลักษณ์ของเทศกาลอื่นๆ ที่มักจัดขึ้นบ่อยครั้งมานำเสนอ อีกทั้งการรวมญาตและการแลกของขวัญก็ได้กลายมาเป็นลักษณะเด่นของเทศกาลอย่างกว้างขวาง ประเทศส่วนใหญ่มีประเพณีการให้ของขวัญ ส่วนวันอื่นที่มีการแลกของขวัญRead More
-->
ตำนาน ของดอก Poinsettia ที่กลายมาเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของวันคริสต์มาส มาจากเรื่องราวของเด็กหญิงจนๆ คนหนึ่ง ที่ต้องการหาของขวัญไปมอบให้พระแม่มารีในวันคริสต์มาสอีฟ แต่เนื่องจากเธอไม่มีสิ่งของใดๆ ติดตัว จึงเดินทางไปตัวเปล่า และระหว่างทางเธอได้พบกับนางฟ้าที่บอกให้เธอเก็บเมล็ดพืชไว้ ต่อมาเมล็ดพืชนั้นกลับเจริญเติบโตเปลี่ยนเป็นดอกไม้สีเลือดหมูสดใส ซึ่งก็คือดอก Poinsettia ตั้งแต่นั้นดอก Poinsettia ก็ได้รับความนิยมใช้ประดับประดาบ้านในงานคริสต์มาส ดอกคริสต์มาส Christmas Rose มี ต้นกำเนิดที่ประเทศอังกฤษ ลักษณะเป็นดอกสีขาว และมักออกดอกในช่วงฤดูหนาว ตำนานของดอกคริสต์มาสนี้มีอยู่ว่า ในช่วงที่พระเยซูประสูติ มีผู้รอบรู้ 3 คน กับคนเลี้ยงแกะเดินทางมาพบพระเยซู ระหว่างทางพวกเขาพบกับ มาเดลอน เด็กหญิงที่เลี้ยงแกะคนหนึ่ง เมื่อเธอทราบว่าทั้งหมดเดินทางมาเพื่อมอบของขวัญให้พระเยซู มาเดลอนก็เสียใจที่ไม่มีของขวัญใดไปมอบให้พระเยซูบ้าง ก่อนที่นางฟ้าที่เฝ้ามองเธออยู่จะเกิดความเห็นใจจึงร่ายมนตร์เสกดอกไม้สีขาว น่ารักและมีสีชมพูอยู่ตรงปลายกลีบให้เธอ และดอกไม้นั้นคือ ดอกคริสต์มาสนั่นเอง
-->
อีเมล์ขำๆ ที่ส่งต่อมา อ่านทีไรก็พยักหน้างึกงักเห็นด้วย ปล. มีคำเตือนก่อนอ่าน – ลิสต์นี้ทำไว้เพื่อให้คนคลายเครียด ไม่ใช่ให้เครียดมากยิ่งขึ้น ถือซะว่าเอาไว้อ่านเพลินๆ กันนะฮะ เทศกาลคริสต์มาส และงานปีใหม่ 1. เราไม่เคยเห็นโรงเรียนหรือสถานที่ราชการไหนจัดงานปีใหม่ตรงกับวันที่ 1 มกราคมเลยซักที่ 2. เครื่องประดับวันคริสมาสต์ไม่ได้ให้อะไรคุณมากไปกว่า แสงสีสวยงาม เงาประดับ และเวลาอีกชั่วโมงที่คุณต้องเก็บกวาดหลังจากหมดเทศกาล 3. ที่บ้านไม่ได้ประดับเครื่องประดับวันคริสมาสต์ก็ไม่ตายหรอก 4. การที่ผมไม่ได้มีเครื่องประดับวันคริสมาสต์ ไม่ได้หมายความว่าผมเชยซะหน่อย 5. เราไม่เคยเห็นห้างไหนเอาเครื่องประดับวันคริสต์มาส มาขายช่วงเดือนมิถุนาเลยซักที่ -_-! 6. เพลงยอดฮิตที่จะเปิดตามห้าง และสถานที่ราชการ แม้แต่โรงเรียนของคุณๆในช่วงเทศกาลคริสต์มาสคือ Jingle bells และ We wish you a merry Christmas. 7. ถ้าคุณอยากจะให้เทศกาลคริสต์มาส และอื่นๆ ที่เป็นวัฒนธรรมของต่างประเทศหมดไปจากประเทศไทย บางทีคุณอาจจะกำลังนอนหลับอยู่ก็เป็นได้ 8. คำว่าเทศกาล คริสต์มาส อาจเปลี่ยนเป็น คิดมาก ก็ได้ ถ้าคุณไม่มีปัญญาจะแต่งบ้านของคุณด้วยเครื่องประดับตามสมัยนิยม 9. เราไม่เคยเห็นคำว่าRead More
-->
สวัสดีทุกคนนน ช่วงวันคริสต์มาสแบบนี้จะมีอะไรดีไปกว่าการได้ตกแต่งต้นคริสต์มาสในบ้าน ตกแต่งบ้านด้วยไฟสวย ๆ และเอนจอยไลฟ์กับอากาศชิลล์ ๆ แต่รู้หรือไม่ว่าเทศกาลคริสต์มาสเองก็มีสิ่งที่ถูกทำต่อ ๆ กันมาจนกลายเป็นประเพณีประจำวันคริสต์มาสไปแล้ว! วันนี้เราจะพาไปดูกันว่ามีประเพณีวันคริสมาสอะไรบ้าง และประเพณีคริสต์มาสเหล่านั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เพราะอะไร ตามมาเล้ยยย ต้องบอกก่อนว่าวันคริสต์มาสเนี่ย เป็นเทศกาลที่เฉลิมฉลองวันเกิดของจีซัส (Jesus) หรือพระเยซูเจ้า ที่เชื่อกันว่าเป็นลูกชายของพระเจ้านั่นเอง ถือว่าเป็นวันสำคัญทางศาสนาคริสต์เลยแหละ ในต่างประเทศที่มีผู้คนนับถือศาสนาคริสต์เยอะ ๆ ก็จะถือว่าตั้งแต่ช่วงวันคริสต์มาสอีฟไปจนถึงปีใหม่ จะเป็นช่วงวันหยุดยาวที่ต้องหยุดงาน เพื่อให้ชาวคริสต์ได้กลับไปใช้ชีวิต พบปะ สังสรรค์และได้ใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวของพวกเขาในช่วงเวลาสำคัญแห่งปีแบบนี้ และแน่นอนว่าวันคริสต์มาสก็ทำให้เกิดประเพณีหรือธรรมเนียมปฏิบัติเยอะแยะมากมาย อย่างการห้อยถุงเท้า, การกินพาย และการแลกของขวัญ แต่ละสิ่งมีความสำคัญอย่างไร ไปดูกันดีกว่า 1. ห้อยถุงเท้ายาวไว้หน้าเตาผิง เมื่อถึงเวลาของวันคริสต์มาสอีฟ ประเพณีวันคริสมาสที่เด็ก ๆ มักจะทำเสมอก็คือการนำถุงเท้ายาวไปห้อยไว้ที่หน้าเตาผิง หรือที่ต้นคริสต์มาส เพราะเชื่อกันว่าซานตาครอสจะนำของขวัญที่อยากได้มาใส่ไว้ในถุงเท้าเหล่านี้นั่นเอง แต่ในความเป็นจริงแล้วประเพณีวันคริสมาสนี้เกิดขึ้นจากประเพณีเก่าแก่อย่างหนึ่งนั่นคือ การวางหญ้าแห้งไว้ในรองเท้าในคืนวันที่ 5 ธันวาคม เพราะเชื่อว่าหากนักบุญนิโคลัสผ่านมา หญ้าแห้งที่พวกเขาทิ้งไว้ก็จะกลายเป็นอาหารของลาที่ท่านใช้ในการสัญจร และนักบุญนิโคลัสก็จะทิ้งเหรียญเงินเอาไว้ให้ในรองเท้าเป็นการตอบแทน และมีเรื่องเล่าว่าบ้านหลังหนึ่งมีหญิงสาวสามคนเป็นพี่น้องกันและยากจนมาก นักบุญนิโคลัสก็ทิ้งเหรียญทองไว้ให้ คืนหนึ่งพวกเธอเอาถุงเท้าทีม่ีเหรียญทองไปตากให้แห้งตรงปล่องไฟ เมื่อซาตาครอสเข้ามาจึงทิ้งเหรียญทองไว้ให้มากมาย หลังจากนั้นมาเด็ก ๆ จึงห้อยถุงเท้ายาวไว้ที่เตาผิงไฟ เพราะหวังว่าหากซานตาครอสผ่านมาRead More
-->
Merry Christmas. แต่บางครั้งเราเจอ Merry Xmas. เอ๊ะ! Xmas คืออะไร มาจากไหน ทำไมต้อง Xmas? และศัพท์น่ารู้วัน Christmas Day ภาษาอังกฤษบวกวัฒนธรรมที่จะทำให้ใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างเจ้าของภาษา มาดูกันเลย เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าวันคริสต์มาส (Christmas Day) ตรงกับวันที่ 25 ธันวาคม ซึ่งคริสตศาสนิกชนจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู (แม้ว่าจะไม่ตรงกับวันเกิดจริง ๆ ของพระเยซู แต่เลือกวันนี้เพื่อให้สอดคล้องกับเทศกาลโรมัน) ชาวคริสต์จะให้ความสำคัญกับวันคริสต์มาสเป็นอย่างมาก โดยมีการจัดเทศกาลยาวนานถึง 12 วันเลยทีเดียว นอกจาก Christmas บางครั้งเราได้เจอคำว่า Xmas ด้วย ซึ่งเป็นอันเข้าใจว่าหมายถึงวันคริสต์มาส แต่คำนี้มีที่มาอย่างไร ทำไมถึงใช้ Xmas กันล่ะ? Xmas มาจากไหน? Xmas เป็นคำย่อของ Christmas ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย โดย X มาจากตัวอักษรกรีก Χ ออกเสียงว่า “ไค” (chi) ซึ่งมีลักษณะคล้ายตัวRead More
-->
สดร.ร่วมฉลองเทศกาลแห่งความสุขผ่าน “ต้นคริสต์มาสแห่งเอกภพ” ผลงานภาพถ่ายจากกล้องโทรทรรศน์ไทย 0.7 เมตร ที่ออสเตรเลีย สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.) ร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสส่งความสุขจากห้วงอวกาศ ด้วยภาพ “เนบิวลาคริสต์มาสแห่งเอกภพ” เนบิวลาสีแดงขนาดใหญ่เกิดจากแก๊สไฮโดรเจนในอวกาศ ประดับด้วยลูกบอลสีฟ้าแวววาวจากแสงของดาวฤกษ์เกิดใหม่และเนบิวลาขนสุนัขจิ้งจอก หนึ่งในผลงานจากกล้องโทรทรรศน์ควบคุมระยะไกลอัตโนมัติ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.7 เมตร ของ สดร. ณ หอดูดาวสปริงบรูค ประเทศออสเตรเลีย “NGC 2264” เป็นชื่อเรียกรวม ๆ ของวัตถุในภาพ ประกอบด้วย เนบิวลาแบบเรืองแสง (Emission Nebula) และกระจุกดาวเปิด (Open Cluster) ที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน เป็นกระจุกดาวอายุน้อยและมีความสว่างมาก อยู่ในกลุ่มดาวยูนิคอร์น (Monoceros) ห่างจากโลกประมาณ 2,600 ปีแสง แสงสีแดงในภาพเกิดจากไฮโดรเจนในอวกาศดูดซับพลังงานจากดาวฤกษ์รอบๆ แล้วปลดปล่อยแสงออกมาในช่วงคลื่นเฉพาะ เรียกว่า “ไฮโดรเจนแอลฟา” เนบิวลานี้จึงมีสีแดงสว่างโดดเด่น เรียกเนบิวลาประเภทนี้ว่า “เนบิวลาเรืองแสง” ลักษณะการเรียงตัวของกระจุกดาว มีดาวสว่างสีฟ้าและสีขาวเรียงเป็นรูปสามเหลี่ยม คล้ายต้นคริสต์มาส จึงเรียกว่า “กระจุกดาวต้นคริสต์มาส (ChristmasRead More
-->
โดยปกติแล้วคนไทยเป็นกลุ่มชนที่รักความสนุกสนาน ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมและประเพณี มักจะมีเรื่องราวแห่งความสุขสนาน ความชื่นชมยินดีแทรกอยู่ในตัวเอง เมื่อมีวัฒนธรรมของคนชาติอื่นๆเข้ามา ยิ่งเป็นวัฒนธรรมที่ชื่นชมยินดี สนุกสนานด้วยแล้ว จึงเป็นเรื่องง่ายที่คนไทยเองจะรับวัฒนธรรมเหล่านั้นเข้ามาปรับเป็นของตน ทำให้คุ้นเคยได้เร็ว หรือไม่รู้สึกอึดอัดเมื่อร่วมเฉลิมฉลองไปกับวัฒนธรรมนั้นๆ สำหรับเทศกาลคริสมาสก็เช่นเดียวกัน เป็นเทศกาลที่สนุกสนานเต็มไปด้วยความรื่นเริง มีเสียงเพลง ของขวัญ เป็นเสมือนเทศกาลแห่งความสุขก็ว่าได้ ดังนั้นเป็นเรื่องไม่ยากเลยที่คนไทยจะปรับตัวเข้ากับเทศกาลคริสต์มาสและนำเทศกาลคริสต์มาสเข้ามาสู่สังคมไทยได้อย่างง่ายดาย ไม่น่าแปลกใจที่ทั่วทุกพื้นที่ในประเทศไทยจะมีการเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสตามแบบฉบับของตัวเอง ซึ่งอาจจะไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงก็เป็นได้ แท้ที่จริงแล้วความหมายของวันคริสต์มาสไม่ได้เฉลิมฉลองเพียงเพราะว่าเป็นเทศกาลที่มีความสนุกสนาน หรือเพื่อความรื่นเริงเพียงเท่านั้น ซึ่งทุกสิ่งล้วนมีสาเหตุ เช่นเดียวกันความสนุกสนานและความรื่นเริงในเทศกาลคริสต์มาส ก็มีสาเหตุมีนัยยะสำคัญแห่งการเฉลิมฉลองเทศกาลนี้ด้วยเช่นกัน แต่ทว่าคนไทยส่วนมากไม่ได้เข้าใจถึงความหมายนั้น อาจจะมีแค่คริสตชนไทยหรือคนไทยที่เป็นคริสเตียนเท่านั้นที่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของ เหตุที่แท้จริงแห่งการเฉลิมฉลองนั้น เพราะพระเจ้าคือพระเยซู คริสต์ได้ลงมาบังเกิดในโลกใบนี้ เพื่อจะช่วยให้มนุษย์ทุกคนในโลกนี้ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นด้วยความรักนั้น จะได้รอดพ้นจากบาป เวรกรรม ที่นำไปสู่การตกนรกด้วยการตายบนกางเขนและได้ฟื้นจากความตายของพระเยซู เพื่อมนุษย์จะได้รู้จักกับพระเจ้าที่แท้จริง ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของทุกสรรพสิ่งรวมถึงมนุษยชาติด้วย โดยมีพระเยซูคริสต์ที่เป็นเสมือนกุญแจสำคัญที่สุดในการที่จะไขไปสู่ความยิ่งใหญ่ การยกโทษบาปและความรักของพระเจ้าได้ นี่เป็นเหตุแห่งการเฉลิมฉลองนั่นเอง ถ้าเราเข้าใจและรู้ความหมายที่แท้จริงเกี่ยวกับวันคริสต์มาสแล้ว อยากให้เราได้ร่วมฉลอง ได้ร่วมสนุกสนานอย่างมีความหมาย ให้เราเชื่อและรับความรักของพระเจ้าผ่านเทศกาลแห่งความสุขนี้ เพื่อชีวิตทั้งหมดของเราจะมีความหมายอย่างที่พระเจ้าทรงมีให้กับเรา
-->